ใบงานที่ 3
ใบงานที่ 3
ใบงานที่ 3.1
การจัดการข้อมูลและข้อความ
การจัดการลิสต์
การจัดข้อมูลแบบลิตส์ มี 5 แบบได้แก่
1. การสร้างลิสต์ หมายถึง การสร้างตัวแปรเก็บข้อมูลแบบลิสต์ มีวิธีการ คือ การกำหนดชื่อลิสต์ และมีเครื่องหมายเท่ากับ (=) จากนั้นใช้เครื่องหมายวงเล็บเหลี่ยมเปิด ([) แล้วมีข้อมูลที่ต้องการเก็บอยู่ในเครื่องหมายวงเล็บเหลี่ยมเปิดและปิด ถ้าต้องการเก็บข้อมูลที่เป็นตัวเลขใช้เพียงเครื่องหมายจุลภาค (,) คั่นกลางระหว่างข้อมูล แต่ถ้าเป็นข้อมูลชนิดสายอักขระให้พิมพ์ไว้ในเครื่องหมายอัญประกาศ("")
รูปแบบคำสั่ง
ชื่อลิสต์ = [ ข้อมูลลำดับที่0, ข้อมูลลำดับที่1, ข้อมูลลำดับที่2, ...ข้อมูลลำดับสุดท้าย ]
ตัวแปรลิตส์มีการเก็บข้อมูล 4 ลักษณะได้แก่
1.1 ลิตส์แบบเก็บข้อมุลเลขจำนวนอย่างเดียว
MyList = [2550, 2551, 2552, 2553, 2554]
ผลการทดลอง จากการทดลอง จะยังไม่มีการแสดงตัวเลข
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการเก็บข้อมูลตัวเลขทั้งหมดที่ My List
1.2 ลิตส์แบบเก็บข้อมูลข้อความอย่างเดียว
MyList = ["ant", "dog", "cat", "rat", "bird"]
ผลการทดลอง จากการทดลอง จะยังไม่มีการแสดงข้อความ
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการเก็บข้อมูลข้อความทั้งหมดที่ My List
1.3 ลิตส์แบบเก็บข้อมูลตัวเลขผสมกับข้อมูลข้อความ
MyList = ["ant", 2, 3, "rat"]
ผลการทดลอง จากการทดลอง จะยังไม่มีการแสดงข้อความและตัวเลข
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการเก็บข้อมูลข้อความและตัวเลขทั้งหมดที่ My List
1.4 ลิตส์แบบเก็บข้อมูลลิสต์ย่อย คือ มีการเก็บข้อมูลลิตส์ชุดย่อยๆ อยู่ภายในตัวแปรลิตส์ ข้อมูลทั้งหมดอาจเป็นตัวแปรลิตส์ย่อยทั้งหมด หรือผสมกับข้อมูลเลขจำนวน ข้อความก็ได้
SubList = [["Python", "Programming","Language"],["This is", "a SubList"]]
ผลการทดลอง จากการทดลอง จะยังไม่มีการแสดงข้อความ
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการเก็บข้อมูลข้อความแบบมีลิสต์ย่อยทั้งหมดที่ Sub List
SubList = [1, 2,3,["This is", "a SubList"]]
ผลการทดลอง จากการทดลอง จะยังไม่มีการแสดงข้อความและตัวเลข
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการเก็บข้อมูลข้อความแบบมีลิสต์ย่อยทั้งหมดที่ Sub List
SubList = ["Programming","Language",["This is", "a SubList"]]
ผลการทดลอง จากการทดลอง จะยังไม่มีการแสดงข้อความ
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการเก็บข้อมูลข้อความแบบมีลิสต์ย่อยทั้งหมดที่ Sub List
2. การเข้าถึงลิสต์ มีวิธีการง่าย ๆ ตามหลักการของอะเรย์ที่ใช้ดัชนีชี้ตำแหน่งข้อมูล
รูปแบบคำสั่ง
คำสั่งที่ต้องการเข้าถึงข้อมูล ชื่อลิสต์ [ตำแหน่งข้อมูล]
แบบที่ 1 เข้าถึงข้อมูลโดยใช้ดัชนีชี้ตำแหน่งเริ่มต้นไปหาข้อมูลลำดับสุดท้าย โดยการใช้ดัชนี 0สหรับข้อมูลตำแหน่งเริ่มต้น และสำหรับตำแหน่งต่อ ๆ ไปให้เพิ่มค่าดัชนีครั้ง 1 ไปเรื่อย ๆ
MyList = ["ant", "dog", "cat", "rat", "bird"]
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการเก็บข้อมูลข้อความทั้งหมดที่ My List
print MyList[0]
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการแสดงข้อมูลข้อความของ My List ตำแหน่ง 0
print MyList[1]
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการแสดงข้อมูลข้อความของ My List ตำแหน่ง 1
print MyList[2]
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการแสดงข้อมูลข้อความของ My List ตำแหน่ง 2
print MyList[3]
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการแสดงข้อมูลข้อความของ My List ตำแหน่ง 3
print MyList[4]
ผลการทดลอง คำสั่งนี้จะเป็นการเริ่มเก็บข้อมูลข้อความที่ MyList และนำมาแสดงทีละตำแหน่ง
แบบที่ 2 การเข้าถึงข้อมูลโดยใช้ดัชนีชี้ตำแหน่งข้อมูลลำดับสุดท้ายไปหาข้อมูลตำแหน่งเริ่มต้น โดยการใช้ดัชนีที่เป็นค่าลบชี้ข้อมูลตำแหน่งสุดท้ายที่-1 และตำแหน่งต่อไปลดค่าดัชนีลงครั้งละ1ไปเรื่อย ๆ
MyList = ["ant", "dog", "cat", "rat", "bird"]
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการเก็บข้อมูลข้อความทั้งหมดที่ My List
print MyList[-5]
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการแสดงข้อมูลข้อความของ My List ตำแหน่ง -5
print MyList[-4]
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการแสดงข้อมูลข้อความของ My List ตำแหน่ง -4
print MyList[-3]
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการแสดงข้อมูลข้อความของ My List ตำแหน่ง -3
print MyList[-2]
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการแสดงข้อมูลข้อความของ My List ตำแหน่ง -2
print MyList[-1]
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการแสดงข้อมูลข้อความของ My List ตำแหน่ง -1
ผลการทดลอง คำสั่งนี้จะเป็นการเริ่มเก็บข้อมูลข้อความที่ My List และนำมาแสดงทีละตำแหน่งโดยระบุเป็นตัวเลขติดลบ
แบบที่ 3การเข้าถึงข้อมูลลิสต์ย่อย การเข้าถึงข้อมูลในลิสต์ย่อย ทำได้โดยระบุตำแหน่งข้อมูลในลิสต์ย่อยดังนี้
รูปแบบคำสั่ง
คำสั่งที่ต้องการเข้าถึงข้อมูล ชื่อลิสต์ [ตำแหน่งของลิสต์ย่อย][ตำแหน่งข้อมูล]
SubList = ["Programming","Language",["This is", "a sublist"]]
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการเก็บข้อมูลข้อความทั้งหมดที่ My List แบบมีลิสต์ย่อย
print Sublist [2][1]
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการแสดงข้อมูลข้อความของ Sub List ตำแหน่ง 2 และ 1
ผลการทดลอง วิธีการเข้าถึงข้อมูลในลิสต์มีวิธีการง่าย ๆ ตามหลักการของอะเรย์ที่ใช้ดัชนีชี้ตำแหน่งที่อยู่ของข้อมูลโดยเริ่มต้นจากข้อมูลลำดับแรกที่ 0 ซึ่งจากตัวอย่างการประกาศตัวแปร yearList จากภาพที่ 3.1 สามารถเข้าถึงข้อมูลลำดับแรกได้ด้วยคำสั่ง yearList[0] และลำดับถัดไปจะเป็น yearList[1] yearList[2] ต่อไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้ภาษาไพธอนยังมีวิธีการเข้าถึงข้อมูลมาจากตำแหน่งหลังสุดไปหน้าสุดด้วยการใช้ดัชนีที่เป็นค่าลบโดยเริ่มจากลำดับสุดท้ายที่ -1 และถัดมาเป็น -2 ไปเรื่อย ๆ ซึ่งอำนวยความสะดวกในกรณีข้อมูลมีการเพิ่มข้อมูลเข้าไปใหม่หรือการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง
3. การกำหนดตำแหน่งของลิสต์
การกำหนดช่วงตำแหน่งของลิสต์ ในภาษาไพธอน เรียกว่า slicing คือการกำหนดเซตย่อยของลิสต์ เพื่อให้ผู้ใช้ เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีการกำหนดข้อมูลเริ่มต้นและข้อมูลสุดท้ายที่ต้องการ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นข้อมูลที่มีตำแหน่งเรียงลำดับต่อเนื่องกัน การเข้าถึงข้อมูลที่กำหนดช่วงไว้ใช้วิธีเดียวกับการเข้าถึงข้อมูลปกติ คือ ใช้การระบุดัชนี อยู่ในวงเล็บเหลี่ยม
monthList = ["January", "February", "March", "April", "May", "June","July",
"August","September", "October", "November", "December"]
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการเก็บข้อมูลข้อความทั้งหมดที่ monthList
firstHalf = monthList[:6]
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการสั่งให้ firstHalf เป็น monthList ก่อน 6 ตำแหน่งแรก
secondHalf = monthList[6:]
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการสั่งให้ secondHalf เป็น monthList หลัง 6 ตำแหน่งแรก
midHalf = monthList[4:9]
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการสั่งให้ midHalf เป็น monthList ตำแหน่งหลัง 4 และก่อน 9
print ('firstHalf :' )
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการแสดงข้อความ firstHalf
print (firstHalf)
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการแสดงข้อความที่เก็บอยู่ใน firstHalf
print ('secondHalf :' )
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการแสดงข้อความ secondHalf
print (secondHalf)
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการแสดงข้อความที่เก็บอยู่ใน secondHalf
print ('midHalf :' )
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งนี้จะเป็นการแสดงข้อความ midHalf
print (midHalf)
ผลการทดลอง คำสั่งนี้จะเป็นการแสดงข้อความที่เก็บอยู่ใน midHalf
4. การเพิ่มและลบข้อมูลลิสต์
การเพิ่มข้อมูลเข้าไปในลิสต์และการลบข้อมูลออกจากลิสต์ เป็นจุดเด่นของโปรแกรมภาษาไพธอน ทำได้โดยการใช้คำสั่งที่เป็นเมท็อด หรือฟังก์ชันที่มีไว้ให้ใช้อยู่แล้ว
การเพิ่มข้อมูล
แบบที่ 1 การเพิ่มข้อมูลเพียงข้อมูลเดียว ต่อเนื่องจากข้อมูลสุดท้าย
รูปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์. append( ข้อมูลที่เพิ่มเข้าในลิตส์)
Mylist = ["a", "b", "c", "d", "e", "f", "g"]
การทำงานของคำสั่ง ประกาศตัวแปรที่ชื่อ Mylist กำหนดข้อมูลแบบเรียงลำดับตัวอักษร
Mylist.append(“h”)
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งให้เพิ่มข้อมูล h เข้ามาในตัวแปร Mylist
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งให้แสดงข้อมูลที่อยู่ภายใน Mylist
Mylist = ["a", "b", "c" , "d", "e", "f", "g","h"]
ผลการทดลอง การเพิ่มข้อมูลเข้าไปในลิสต์และการลบข้อมูลออกจากลิสต์ เป็นจุดเด่นของ
โปรแกรมภาษาไพธอน วิธีการเพิ่มด้วยคำสั่งที่เป็นเมท็อด หรือฟังก์ชันที่มีไว้ให้ใช้อยู่แล้ว เช่น คำสั่งเพื่อเพิ่ม ได้แก่ append() เป็นการเพิ่มข้อมูลเพียงข้อมูลเดียว ต่อเนื่องจากข้อมูลสุดท้าย และคำสั่ง insert สำหรับการระบุลำดับที่ต้องการให้ข้อมูลแทรกในแถวตามต้องการ และ extent() เป็นการเพิ่มข้อมูลต่อเนื่องด้วยจำนวนหลาย ๆ ข้อมูลที่เป็นลิสต์ สำหรับการลบสามารถใช้ เมท็อด pop() โดยการระบุตำแหน่งและ remove() โดยการระบุชื่อข้อมูล สำหรับคำสั่ง del เป็นฟังก์ชันที่ต้องการลบในจำนวนมาก
แบบที่ 2 การแทรกข้อมูลใหม่ หรือการเพิ่มข้อมูลใหม่โดยระบุตำแหน่งข้อมูลในลำดับที่ต้องการ
รูปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์.insert(ตำแหน่งข้อมูล, ข้อมูล)
Mylist = ["a", "b", "c", "d", "e", "f", "g"]
การทำงานของคำสั่ง ประกาศตัวแปรที่ชื่อ Mylist กำหนดข้อมูลแบบเรียงลำดับตัวอักษร
Mylist.insert(3, *)
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งให้แทรกข้อมูลในตำแหน่งที่ 3 ข้อมูล * ไปที่ Mylist
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งให้แสดงข้อมูลที่อยู่ภายใน Mylist
Mylist = ["a", "b", "c" *, "d", "e", "f", "g"]
ผลการทดลอง การเพิ่มข้อมูลเข้าไปในลิสต์และการลบข้อมูลออกจากลิสต์ เป็นจุดเด่นของ
โปรแกรมภาษาไพธอน วิธีการเพิ่มด้วยคำสั่งที่เป็นเมท็อด หรือฟังก์ชันที่มีไว้ให้ใช้อยู่แล้ว เช่น คำสั่งเพื่อเพิ่ม ได้แก่ append() เป็นการเพิ่มข้อมูลเพียงข้อมูลเดียว ต่อเนื่องจากข้อมูลสุดท้าย และคำสั่ง insert สำหรับการระบุลำดับที่ต้องการให้ข้อมูลแทรกในแถวตามต้องการ และ extent() เป็นการเพิ่มข้อมูลต่อเนื่องด้วยจำนวนหลาย ๆ ข้อมูลที่เป็นลิสต์ สำหรับการลบสามารถใช้ เมท็อด pop() โดยการระบุตำแหน่งและ remove() โดยการระบุชื่อข้อมูล สำหรับคำสั่ง del เป็นฟังก์ชันที่ต้องการลบในจำนวนมาก
แบบที่ 3 การเพิ่มข้อมูลต่อเนื่องด้วยจำนวนหลาย ๆ ข้อมูล ด้วยข้อมูลที่เป็นลิสต์
รูปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์.extent(ชื่อลิตส์ย่อย)
Mylist = ["a", "b", "c", "d", "e", "f", "g"]
การทำงานของคำสั่ง ประกาศตัวแปรที่ชื่อ Mylist กำหนดข้อมูลแบบเรียงลำดับตัวอักษร
Sublist=[1,2,3]
Mylist.extent(Sublist)
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งให้แทรกข้อมูล Sublist เข้าไปที่ Mylist
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งให้แสดงข้อมูลที่อยู่ภายใน Mylist
Mylist = ["a", "b", "c", "d", "e", "f", "g","1","2","3"]
ผลการทดลอง การเพิ่มข้อมูลเข้าไปในลิสต์และการลบข้อมูลออกจากลิสต์ เป็นจุดเด่นของ
โปรแกรมภาษาไพธอน วิธีการเพิ่มด้วยคำสั่งที่เป็นเมท็อด หรือฟังก์ชันที่มีไว้ให้ใช้อยู่แล้ว เช่น คำสั่งเพื่อเพิ่ม ได้แก่ append() เป็นการเพิ่มข้อมูลเพียงข้อมูลเดียว ต่อเนื่องจากข้อมูลสุดท้าย และคำสั่ง insert สำหรับการระบุลำดับที่ต้องการให้ข้อมูลแทรกในแถวตามต้องการ และ extent() เป็นการเพิ่มข้อมูลต่อเนื่องด้วยจำนวนหลาย ๆ ข้อมูลที่เป็นลิสต์ สำหรับการลบสามารถใช้ เมท็อด pop() โดยการระบุตำแหน่งและ remove() โดยการระบุชื่อข้อมูล สำหรับคำสั่ง del เป็นฟังก์ชันที่ต้องการลบในจำนวนมาก
5. การลบข้อมูล
แบบที่ 1 การลบโดยการระบุตำแหน่งข้อมูล
รูปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์.pop ( ตำแหน่งข้อมูลที่ต้องการลบ )
Mylist = ["a", "b", "c", "d", "e", "f", "g"]
การทำงานของคำสั่ง ประกาศตัวแปรที่ชื่อ Mylist กำหนดข้อมูลแบบเรียงลำดับตัวอักษร
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งให้แสดงข้อมูลที่อยู่ภายใน Mylist ทางหน้าจอ
Mylist.pop(3)
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งให้ลบข้อมูลลำดับที่ 3 ในตัวแปร Mylist
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งให้แสดงข้อมูลที่อยู่ภายใน Mylist
Mylist = ["a", "b", "d", "e", "f", "g"]
ผลการทดลอง การเพิ่มข้อมูลเข้าไปในลิสต์และการลบข้อมูลออกจากลิสต์ เป็นจุดเด่นของ
โปรแกรมภาษาไพธอน วิธีการเพิ่มด้วยคำสั่งที่เป็นเมท็อด หรือฟังก์ชันที่มีไว้ให้ใช้อยู่แล้ว เช่น คำสั่งเพื่อเพิ่ม ได้แก่ append() เป็นการเพิ่มข้อมูลเพียงข้อมูลเดียว ต่อเนื่องจากข้อมูลสุดท้าย และคำสั่ง insert สำหรับการระบุลำดับที่ต้องการให้ข้อมูลแทรกในแถวตามต้องการ และ extent() เป็นการเพิ่มข้อมูลต่อเนื่องด้วยจำนวนหลาย ๆ ข้อมูลที่เป็นลิสต์ สำหรับการลบสามารถใช้ เมท็อด pop() โดยการระบุตำแหน่งและ remove() โดยการระบุชื่อข้อมูล สำหรับคำสั่ง del เป็นฟังก์ชันที่ต้องการลบในจำนวนมาก
แบบที่ 2 การลบโดยการระบุชื่อข้อมูลที่ต้องการลบ
รูปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์.remove (ข้อมูลที่ต้องการลบ)
Mylist = ["a", "b", "c", "d", "e", "f", "g"]
การทำงานของคำสั่ง ประกาศตัวแปรที่ชื่อ Mylist กำหนดข้อมูลแบบเรียงลำดับตัวอักษร
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งให้แสดงข้อมูลที่อยู่ภายใน Mylist ทางหน้าจอ
Mylist.remove (“a”)
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งให้ลบข้อมูล a ในตัวแปร Mylist
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งให้แสดงข้อมูลที่อยู่ภายใน Mylist
Mylist = ["b", "c", "d", "e", "f", "g"]
ผลการทดลอง การเพิ่มข้อมูลเข้าไปในลิสต์และการลบข้อมูลออกจากลิสต์ เป็นจุดเด่นของ
โปรแกรมภาษาไพธอน วิธีการเพิ่มด้วยคำสั่งที่เป็นเมท็อด หรือฟังก์ชันที่มีไว้ให้ใช้อยู่แล้ว เช่น คำสั่งเพื่อเพิ่ม ได้แก่ append() เป็นการเพิ่มข้อมูลเพียงข้อมูลเดียว ต่อเนื่องจากข้อมูลสุดท้าย และคำสั่ง insert สำหรับการระบุลำดับที่ต้องการให้ข้อมูลแทรกในแถวตามต้องการ และ extent() เป็นการเพิ่มข้อมูลต่อเนื่องด้วยจำนวนหลาย ๆ ข้อมูลที่เป็นลิสต์ สำหรับการลบสามารถใช้ เมท็อด pop() โดยการระบุตำแหน่งและ remove() โดยการระบุชื่อข้อมูล สำหรับคำสั่ง del เป็นฟังก์ชันที่ต้องการลบในจำนวนมาก
แบบที่ 3 การลบข้อมูลเป็นจำนวนมากโดยระบุดัชนีตำแหน่งเริ่มต้นและตำแหน่งสุดท้ายของข้อมูลที่จะลบ
รูปแบบคำสั่ง
del ชื่อลิตส์ _[ดัชนีตำแหน่งแรก : ดัชนีตำแหน่งสุดท้าย]
Mylist = ["a", "b", "c", "d", "e", "f", "g"]
การทำงานของคำสั่ง ประกาศตัวแปรที่ชื่อ Mylist กำหนดข้อมูลแบบเรียงลำดับตัวอักษร
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งให้แสดงข้อมูลที่อยู่ภายใน Mylist ทางหน้าจอ
del Mylist [0:2]
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งให้ลบข้อมูลลำดับที่ 0 กับ 2
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งให้แสดงข้อมูลที่อยู่ภายใน Mylist ทางหน้าจอ
del Mylist [-1 : -2]
การทำงานของคำสั่ง คำสั่ง del เป็นฟังก์ชันที่ต้องการลบในจำนวนมาก
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งให้แสดงข้อมูลที่อยู่ภายใน Mylist ทางหน้าจอ
ผลการทดลอง การเพิ่มข้อมูลเข้าไปในลิสต์และการลบข้อมูลออกจากลิสต์ เป็นจุดเด่นของ
โปรแกรมภาษาไพธอน วิธีการเพิ่มด้วยคำสั่งที่เป็นเมท็อด หรือฟังก์ชันที่มีไว้ให้ใช้อยู่แล้ว เช่น คำสั่งเพื่อเพิ่ม ได้แก่ append() เป็นการเพิ่มข้อมูลเพียงข้อมูลเดียว ต่อเนื่องจากข้อมูลสุดท้าย และคำสั่ง insert สำหรับการระบุลำดับที่ต้องการให้ข้อมูลแทรกในแถวตามต้องการ และ extent() เป็นการเพิ่มข้อมูลต่อเนื่องด้วยจำนวนหลาย ๆ ข้อมูลที่เป็นลิสต์ สำหรับการลบสามารถใช้ เมท็อด pop() โดยการระบุตำแหน่งและ remove() โดยการระบุชื่อข้อมูล สำหรับคำสั่ง del เป็นฟังก์ชันที่ต้องการลบในจำนวนมาก
6. การเรียงลำดับ การเรียงลำดับข้อมูลลิสต์คือการจัดเรียงลำดับข้อมูลในลิสต์ การเรียงลำดับมีสองแบบได้แก่
แบบที่ 1 เรียงลำดับจากค่าน้อยไปค่ามากสำหรับข้อมูลเลขจำนวน และสำหรับข้อความเรียงตามลำดับของตัวอักษรจากตัวแรกไปหาอักษรตัวสุดท้าย
รูปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์.sort()
Mylist = [12, 20, 15, 14, 35, 39, 42, 37, 32, 40]
การทำงานของคำสั่ง ประกาศตัวแปรและข้อมูลที่จะทำการเก็บเป็นข้อมูลแบบตัวเลข
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งให้แสดงข้อมูลภายใน Mylist ทางหน้าจอ
Mylist.sort()
การทำงานของคำสั่ง เรียงลำดับจากค่าน้อยไปค่ามากสำหรับข้อมูลเลขจำนวน และสำหรับข้อความเรียงตามลำดับของตัวอักษรจากตัวแรกไปหาอักษรตัวสุดท้าย
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งให้แสดงข้อมูลภายใน Mylist ทางหน้าจอ
Mylist = [12, 14, 15, 20, 32, 35, 37, 39, 40, 42]
แบบที่ 2 เรียงลำดับจากค่ามากไปค่าน้อยสำหรับข้อมูลเลขจำนวน และสำหรับข้อความใช้การเรียงตามลำดับของตัวอักษรจากสุดท้ายไปหาลำดับแรก
รูปแบบคำสั่ง
ชื่อลิตส์.reverse()
Mylist = ["a", "c", "z", "d", "3", "30", "g"]
การทำงานของคำสั่ง ประกาศตัวแปรและข้อมูลที่จะทำการเก็บเป็นข้อมูลแบบตัวเลขและตัวอักษร
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งให้แสดงข้อมูลภายใน Mylist ทางหน้าจอ
Mylist.reverse ()
การทำงานของคำสั่ง เรียงลำดับจากค่ามากไปค่าน้อยสำหรับข้อมูลเลขจำนวน และสำหรับข้อความใช้การเรียงตามลำดับของตัวอักษรจากสุดท้ายไปหาลำดับแรก
print Mylist
การทำงานของคำสั่ง คำสั่งให้แสดงข้อมูลภายใน Mylist ทางหน้าจอ
Mylist = ["z", "g", "d", "c", "a", "30", "3"]
ผลการทดลอง ลิสต์เป็นชนิดตัวแปรที่มีการเก็บข้อมูลในลักษณะการเรียงลำดับ ภายในตัวแปร ตัวเดียวจะมีข้อมูลได้หลาย ๆ ข้อมูลเรียงลำดับต่อเนื่องกัน ในภาษาวิชวลเบสิก และภาษาอื่น ๆ จะเรียกว่า อะเรย์
secondHalf = monthList[6:]
midHalf = monthList[4:9]
print ('firstHalf :' )
print (firstHalf)
print ('secondHalf :' )
print (secondHalf)
print ('midHalf :' )
การเพิ่มข้อมูล
Mylist.append(“h”)
print Mylist
Mylist.insert(3, *)
print Mylist
แบบที่ 1 การลบโดยการระบุตำแหน่งข้อมูล
print Mylist
รูปแบบคำสั่ง
print Mylist
Mylist = ["a", "b", "c", "d", "e", "f", "g"]
print Mylist
del Mylist [0:2]
print Mylist
del Mylist [-1 : -2]
ชื่อลิตส์.sort()
Mylist = [12, 20, 15, 14, 35, 39, 42, 37, 32, 40]
print Mylist
ชื่อลิตส์.reverse()
print Mylist
print Mylist
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น